วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ปัญหาเรื่องพระอาทิตย์ (ไม่ควรถกเถียงกัน ด้วยเรื่องที่ต่างก็ไม่รู้จริง) มังกรสอนใจ

ปัญหาเรื่องพระอาทิตย์


         เด็กคนแรกพูดว่า "พระอาทิตย์ตอนเพิ่งพ้นขอบฟ้าเวลาเช้าดวงกลมโต โตพอ ๆ กับล้อรถเลย แต่พอกลางวันก็เล็กลงเหลือขนาดราว ๆ ชามข้าวเท่านั้น สิ่งของยิ่งอยู่ไกลก็ยิ่งดูเล็ก เพราะฉะนั้นแสดงว่าพระอาทิตย์ตอนเช้าอยู่ใกล้ ตอนกลางวันอยู่ไกล" 



       เมื่อครั้งที่ขงจื้อ เดินทางท่องเที่ยวไปตามแคว้นต่างๆ ของจีน มีอยู่คราวหนึ่งที่วิ่งรถไป ขงจื้อเห็นข้างถนนมีเด็ก 2 คน กำลังถกเถียงกันอยู่ ขณะนั้นขงจื้อนั่งบนรถ ห่างจากเด็กพอสมควร ได้ยินไม่ชัดว่าเด็กเถียงกันเรื่องอะไร แต่เห็นว่าเด็กทั้งสองคนเถียงกันอย่างหน้าดำหน้าแดง เสียงที่พูดยิ่งมายิ่งดัง ดูท่าทีจะลงมือลงไม้กันแล้ว ขงจื้อจึงลงจากรถ เดินไปหาเด็กทั้งสอง ตั้งใจจะช่วยไกล่เกลี่ย ถามเด็กทั้งสองว่า...

       "พวกเธอกำลังเถียงกันเรื่องอะไร"





       เด็กคนหนึ่งพูดว่า "คุณลุง คุณลุงคือใครครับ เรื่องที่คุณลุงรู้จะต้องมากกว่าที่พวกผมรู้แน่ ๆ ขอเชิญคุณลุงช่วยเป็นกรรมการตัดสินให้พวกผมด้วยนะครับ"

       ขอจื้อตอบว่า "ฉันคือขงจื้อแห่งแคว้นหลู่ เชิญบอกฉันก่อนว่าพวกเธอกำลังถกเถียงกันเรื่องอะไร"

      เด็กอีกคนหนึ่งพูดว่า "ที่แท้ คุณลุงคือขงจื้อ คุณลุงต้องสามารถตัดสินปัญหานี้ให้พวกเราได้แน่ ๆ เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าคุณลุงเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลก"

       ขอจื้อพูดว่า "รีบบอกปัญหาให้ฉันฟัง"

       เด็กคนหนึ่งพูดว่า "ผมคิดว่าพระอาทิตย์ เมื่อตอนเพิ่งโผล์พ้นขอบฟ้าในเวลาเช้าอยู่ใกล้ เวลาเที่ยงอยู่ไกลจากตัวเรา"




       เด็กอีกคนหนึ่งรีบพูดขึ้นทันทีว่า "ที่เขาพูดไม่ถูก ผมคิดว่าพระอาทิตย์ตอนเช้าอยู่ไกล ตอนกลางวันอยู่ใกล้คนเรา"

      ขงจื้อพูดว่า "พวกเธอลองพูดเหตุผลของตัวเองมาดู"


     เด็กคนแรกพูดว่า "พระอาทิตย์ตอนเพิ่งพ้นขอบฟ้าเวลาเช้าดวงกลมโต โตพอ ๆ กับล้อรถเลย แต่พอกลางวันก็เล็กลงเหลือขนาดราว ๆ ชามข้าวเท่านั้น สิ่งของยิ่งอยู่ไกลก็ยิ่งดูเล็ก เพราะฉะนั้นแสดงว่าพระอาทิตย์ตอนเช้าอยู่ใกล้ ตอนกลางวันอยู่ไกล"




      เด็กอีกคนหนึ่งพูดว่า "ผิดโดยสิ้นเชิง ตอนเช้าพระอาทิตย์เพิ่งออกมา พวกเรารู้สึกเย็นสบาย พอถึงตอนเที่ยงก็ส่องแสงจนคนเหงื่อท่วมตัว เวลาเราอยู่ใกล้ไฟก็จะรู้สึกร้อน ถ้าอยู่ห่างออกมาก็ไม่ค่อยรู้สึก ดังนั้นผมคิดว่าพระอาทิตย์ตอนเที่ยงอยู่ใกล้"

     พอเด็กสองคนพูดจบ ก็ถามขงจื้อว่า จริง ๆ แล้วความคิดของพวกตนของใครถูก

     ขอจื้อดูเหมือนได้รับความลำบากจากปัญหานี้แล้ว นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ไม่รู้จะตอบอย่างไร และตอบเด็กไปว่า "ฉันยังไม่อาจตัดสินโดยเด็ดขาดได้ว่า ความคิดของพวกเธออันไหนถูก เพราะฉันยังไม่เคยค้นคว้าวิจัยเรื่องนี้มาก่อน"

      เด็กสองคนนั้นคิดในใจว่า "ขงจื้อได้ชื่อว่าเป็นนักวิชาการที่เก่งที่สุด แต่ปัญหานี้แม้กระทั่งขงจื้อยังตอบไม่ได้ แล้วพวกเราเพิ่งมีความรู้สังเท่าไรเชียว ถึงได้ปักใจมั่นหัวชนฝาว่าความคิดของตนเองถูก ช่างเป็นเรื่องไม่สมควรจริง ๆ "

ท่านสาธุชนทั้งหลาย...

       เราเคยเป็นคนดื้อปักใจมั่นเชื่อในความคิดของตนเอง จนไม่ยอมรับฟังความคิดคนอื่นบ้างไหม แก้วน้ำที่ปิดฝาอยู่ต่อให้เอาน้ำมาเทสักโอ่ง ก็คงไม่เข้าสักหยด แต่ถ้าเปิดฝาออก เทน้ำลงไปประเดี๋ยวก็เต็มเปี่ยม ถ้าเราเปิดใจให้กว้าง เราจะได้เรียนรู้อะไรต่างๆ มากมายไม่เป็นกบในกะลาครอบ และขอให้ดูตัวอย่างขงจื้อ แม้ได้รับยกย่องว่าเป็นปราชญ์ใหญ่ในยุคนั้น แต่เมื่อเจอเรื่องที่ตัวไม่รู้ ก็บอกตรง ๆ ว่าไม่รู้ไม่มีอาการกลัวหน้าแตก แล้วตอบโมเมส่งเดชไป คนไม่รู้แล้วไม่ชี้ยังดีที่กลัวคือคนไม่รู้แต่ชี้ แล้วชี้ผิด ๆ พาคนอื่นเข้าใจผิดตาม ๆ กันไปด้วย

       ความรู้ต่าง ๆ ในโลกนี้เกิดจากการขบคิดไตร่ตรองด้วยเหตุผลไม่ว่าจะเป็นความคิดของนักวิชาการที่เก่งเพียงใด ก็ล้วนมีโอกาสผิดพลาดทั้งสิ้น ทฤษฎีต่าง ๆ ในโลกตั้งขึ้นแล้วก็มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพราะเป็นความรู้ที่เกิดจากความคิด (จินตามยปัญญา) มีเพียงความรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เกิดจากการทำสมาธิภาวนา (ภาวนามยปัญญา) เท่านั้นที่ถูกต้องจริงแท้ตลอดกาล ทนทานต่อการพิสูจน์ เพราะเป็นความรู้จากใจที่ทำให้พ้นทุกข์ ทำให้โลกสงบเย็น เราจึงควรตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อให้เขาถึงความรู้ชนิดนี้กันเถิด

มหาสุมทรซึ่งเป็นที่ไหลมารวมกันของน้ำจากทุกสารทิศ
จะต้องมีระดับพื้นที่ต่ำกว่าพื้นที่ตรงต้นน้ำทั้งหลายฉันใด
ผู้ที่ต้องการจะรับการถ่ายทอดคุณความดีจากบุคคลทั้งหลาย
ก็จะต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตนก่อนฉันนั้น
โดย พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ M.D., Ph.D. 


วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2560

มังกรสอนใจ ตอน ส้มกิ๊กกลายเป็นส้มจื่อ (ผู้มีปฏิภาณย่อมพลิกสถานการณ์ได้)


ส้มกิ๊กกลายเป็นส้มจื่อ






        มีอยู่คราวหนึ่ง กษัตริย์แคว้นฉีได้ส่งอัครเสนาบดี
ชื่อเอี้ยนอิงไปเยือนแคว้นฉู่กษัตริย์แคว้นฉู่ได้ยินกิตติศัพท์
ว่าเอี้ยนอิงเป็นผู้ที่มีปฏิภาณเฉียบแหลม  และมีวาทะ
คมคายมาก  จึงคิดหาโอกาสแกล้งให้เอี้ยนอิงได้รับ
ความอับอายสักครั้ง

     กษัตริย์แคว้นฉู่ได้สั่งให้จัดงานเลี้ยงต้อนรับเอี้ยนอิง
ขึ้นอย่างใหญ่โต และได้เชิญทูตจากประเทศต่าง  ๆ 
รวมทั้งขุนนางชั้นผู้ใหญ่จำนวนมากเข้าร่วมงานด้วย 
ในขณะที่ทุกคนกำลังดื่มกินพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
นั้นเอง ราชองครักษ์ได้นำตัวโจรผู้หนึ่งเข้ามาในท้องพระโรง

กษัตริย์แคว้นฉู่พอเห็นโจรนั้น ก็แกล้งทำเป็นประหลาดใจมาก
ตรัสถามด้วยเสียงอันดังว่า "เจ้านักโทษคนนี้ไปทำผิดอะไรมา"
ราชองครักษ์ทูลตอบว่า "เป็นโจรลักปล้น เพิ่งจับได้เมื่อครู่
นี้เองพระเจ้าข้า"
กษัตริย์ตรัสถามอีกว่า "มันเป็นคนที่ไหน"

      ราชองครักษ์ "เป็นคนแคว้นฉีพระเจ้าข้า"
"คนแคว้นฉี" กษัตริย์แคว้นฉู่ทำท่าทางเหมือนไม่อยากเชื่อ
ทรงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามเอี้ยนอิงว่า "ท่าเอี้ยนอิง ประเทศ
ของท่านคงจะมีพวกโจรลักปล้นอย่างนี้มากสินะ"


 เอี้ยนอิงลุกขึ้นยืนโค้งคำนับกษัตริย์แคว้นฉู่ แล้วทูลตอบ

อย่างนอบน้อมว่า


     "พระองค์คงจะเคยได้ยินมา มีต้นสัมกิ๊กต้นหนึ่งเจริญเติบโต
อยู่ทางใต้แม่น้ำไหว ออกผลส้มกิ๊กมาทุก ๆ ปี รสชาติหวานอร่อย
แต่ถ้าย้ายไปปลูกทางเหนือแม่น้ำไหวแล้ว กลับจะออกผลเป็น
ส้มจื่อซึ่งทั้งขม ทั้งฝาด ลักษณะภายนอกของส้มทั้งสองชนิดนี้
แม้ดูคล้ายกันแต่รสชาติกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง นี้เป็นเพราะ
ดิน น้ำ สิ่งแวดล้อมของต้นไม้โดยแท้


 กษัตริย์แคว้นฉู่ไม่ค่อยเข้าใจวัตถุประสงค์ในการพูดยก
ตัวอย่างของเอี้ยนอิงนัก แต่ก็รู้สึกกว่าเป็นเรื่องน่าสนใจ 
เอี้ยนอิงพูดต่อไปว่า

   
 "แคว้นฉีของพวกข้าพระองค์ไม่มีโจรลักปล้น
การที่คนคนนี้กลายเป็นโจรลักปล้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจาก
ที่เขาได้มาอยู่แคว้นฉู่แล้ว คงเป็นเพราะว่าเขาได้รับอิทธิพล
จากสิ่งแวดล้อม สังคมของประเทศพระองค์แน่ ๆ เลยพระเจ้าข้า"

     




  

"นำเจ้าโจรนี้ออกไปทันที!" กษัตริย์แคว้นฉู่ตรัสสั่งราชองครักษ์ 
พระองค์ตั้งใจจะแกล้งทำให้เอี้ยนอิงได้อาย แต่ลงท้ายกลับทำให้
ตัวเองกลืนไม่เข้าคายไม่ออก



ท่านสาธุชนทั้งหลาย

 - ไหวพริบปฏิภาณ ปัญญา สามารถแก้ไขปัญหาได้
 - ปัญญา เปรียบเหมือนอาวุธ ช่วยปกป้องคุ้มครองได้ นำชัยชนะมาได้
 - ปัญญา เป็นทรัพย์สินอันมีค่า
 - ผู้มีปัญญา ไม่ว่าอยู่ที่ใดก็องอาจ มีสง่าราศี หมู่คณะก็สง่างาม
   เป็นที่เกรงขามด้วย และขอให้พวกเรา    อย่าได้คิดกลั่นแกล้งผู้ใด
   ไม่ว่าจะเป็นผู้น้อยหรือผู้ใหญ่ การกลั่นแกล้งจะไม่ก่อให้เกิดผลดี
   ใดๆ เลย ได้แต่เพียงความรู้สึกสะใจเท่านั้น แต่จะให้โทษแก่เรา
   ทั้งในภพนี้และภพหน้า


                              โดย พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ M.D., Ph.D
                                                                           วัดพระธรรมกาย




วันเสาร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ผู้เฒ่าช่ายเสียม้า (ในเรื่องร้ายย่อมมีดี ในวิกฤติย่อมมีโอกาส)



ผู้เฒ่าช่ายเสียม้า




วันหนึ่งม้าของท่านผู้เฒ่าได้วิ่งหายไป


      ผู้เฒ่าช่าย เป็นคนที่เข้าใจโลกและชีวิตดีมากคนหนึ่ง เขามีความเห็นว่า เรื่องราวบนโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นโชคดีโดยเด็ดขาดและก็ไม่มีอะไรที่เป็นโชคร้ายโดยสิ้นเชิง ทุกอย่างจะต้องมองทั้งสองทางเสมอ  ดังนั้น เมื่อพบกับเคราะห์ร้ายก็ไม่โศกเศร้า เมื่อพบกับโชคดี ก็ไม่ดีอกดีใจจนเกินไป  มีท่าทีต่อเรื่องต่างๆ ที่ตนประสบพบด้วยความสงบนิ่ง









    มีอยู่วันหนึ่ง ม้าตัวหนึ่งของเขาวิ่งหายไป เพื่อนฝูงของเขาเมื่อรู้ข่าวต่างก็พากันมาเยี่ยม

ปลอบใจเขา แต่ผู้เฒ่าช่ายกลับตอบว่า “ขอบคุณทุกท่านที่มีน้ำใจ แต่ทว่าข้าพเจ้ากลับ
ไม่รู้สึกเสียใจด้วยเรื่องนี้เสียม้าไปแล้ว ไม่แน่อาจจะเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งก็ได้”
    ผ่านไปไม่กี่วันเจ้าม้าตัวนั้นได้กลับมาเองและยังพาม้าพันธุ์ดีอันล้ำค่ามาด้วยอีก 1 ตัวเพื่อน
ฝูงเมื่อทราบข่าวต่างพากันมาแสดงความยินดี แต่เขาพูดว่า





ลูกชายของเขาชอบนำม้าออกไปขี่เที่ยวเล่นเสมอ




“ไม่มีอะไรที่มีคุณค่าจนจำเป็นต้องแสดงความยินดี ได้ม้ามาอีกตัวไม่แน่อาจจะเป็นคราวเคราะห์อีกอย่างหนึ่งก็ได้”
      ลูกชายของผู้เฒ่าช่ายชอบม้าพันธ์ดีตัวนั้นมาก มักขี่ออกไปเที่ยวเล่นเสมอ ม้าตัวนั้นก็วิ่ง
เร็วมาก มีอยู่คราวหนึ่งลูกชายของผู้เฒ่าช่ายตกจากหลังม้าจนขาพิการข้างหนึ่ง เพื่อนฝูงของ
ผู้เฒ่าช่ายทราบข่าวนี้ ต่างก็พากันมาแสดงความเสียใจกับเขา ผู้เฒ่าช่ายกลับพูดตอบเพื่อนๆ
ด้วยท่าทีสงบเยือกเย็นอย่างยิ่งว่า
    “ขาพิการไปข้างหนึ่ง ถึงที่สุดแล้วก็เป็นเรื่องเคราะห์ร้าย หรือโชคดี ยังตัดสินได้ยาก”



วันหนึ่งลูกชายเขาพลาดตกหลังม้าจนขาพิการ




ต่อมาภายหลังไม่นาน เกิดสงครามระหว่างประเทศจีนกับชนเผ่าหู ชายฉกรรจ์ทั้งประเทศต่างก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารปกป้องประเทศสงครามคราวนั้นรบกันอย่างดุเดือด ติดพันยาวนาน คนหนุ่มจำนวนมากได้ตายในสนามรบ แต่ลูกชายของผู้เฒ่าช่าย เนื่องจากขาพิการ
จึงไม่ต้องไปเป็นทหาร พำนักอยู่ในบ้านดำเนินชีวิตอย่างสงบสุข







ท่านสาธุชนทั้งหลาย......

สรรพสิ่งในโลกล้วนไม่เที่ยงมีขึ้นมีลงอยู่ตลอดเวลามีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์ โลกธรรมทั้ง8นี้ ต่างก็หมุนเวียนเปลี่ยนไป โบราณจึงบอกว่า “เมื่อเจอะเรื่องดีใจก็ให้ยิ้มเพียงมุมปากเดียว อย่าถึงกับหัวเราะฮาๆ ไม่อย่างนั้นถึงคราวพบเรื่องเสียใจจะต้องร้องไห้โฮๆ”  และเมื่อเราพบความยากลำบาก ก็ขออย่าท้อถอย ให้ถือคติว่า “ยิ่งมืดยิ่งดึก ยิ่งดึกยิ่งใกล้สว่าง” กันฟันทำงานค่อยๆ  แก้ปัญหาไปทีละเปลาะด้วยใจที่เยือกเย็นมั่นคง ยึดมั่นความดี มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง สุดท้ายปัญหาก็จะคลี่คลายไป เรื่องร้ายก็จะกลายเป็นดีในที่สุด


ภูเขาศิลาล้วนย่อมตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวเพราะแรงลมฉันใด
ผู้ทำพระนิพพานให้แจ้งแล้ว ก็ย่อมมีจิตตั้งมั่น
ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลายฉันนั้น
(พุทธพจน์)



Cr. พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ M.D.,Ph.D


วัดพระธรรมกาย



***************




บางครั้ง.....  ในเรื่องร้ายก็ย่อมมีเรื่องดีแฝงอยู่ ในวิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอ 
เราไม่ควรดีใจ หรือเศร้าโศกเสียใจมากจนเกินไปนัก  
ถ้ามีปัญหาก็แก้กันไป ไม่ควรเอาใจไปยึดติดกับเรื่องราวต่างๆมากจนเกินไปนัก....




วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

มังกรสอนใจ ตอน ชาวนาขายก้อนหิน

ชาวนาขายก้อนหิน




       


    มีชาวนาคนหนึ่งอาศัยอยู่ที่เชิงเขาสูงเสียดฟ้า เต็มไปด้วยหน้าผาสูงชัน ไม่เคยมีใครขึ้นไป

ถึงยอดเขาได้  แล้ววันหนึ่งขณะที่ชาวนาคนนั้นกำลังตัดฟืนอยู่ที่หลังเขา เขาได้พบทางเล็กๆ
สายหนึ่งโดยบังเอิญ  ด้วยความสนใจจึงได้เลาะเลียบไปตามเส้นทาง สายเล็กๆคดเคี้ยวไปมา 
ค่อยๆปีนขึ้นไปอยู่นานมาก ในที่สุดก็ถึงยอดเขา


คาดไม่ถึง....
   บนยอดเขากลับเป็นที่ราบ โล่ง ทุ่งหญ้าเขียวขจี มีดอกไม้ป่าที่ไม่รู้จักชื่อบานสะพรั่งอยู่เต็มไป

หมด บรรยากาศสงบสงัด และทัศนียภาพงดงามยิ่งนัก เขาเดินต่อไปได้อีกครู่หนึ่ง  ก็พบสระน้ำ
แห่งหนึ่งน้ำใสมาก  สามารถมองเห็นปลาว่ายไปมาได้อย่างชัดเจน  ที่ริมสระมีหินจำนวนมากส่ง
ประกายระยิบระยับ มีสีสันต่างๆ งดงาม ชาวนาคนนั้นเคยได้ยินคนเล่าถึง อัญมณี แต่ไม่เคยเห็น
มาก่อน  ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเพชรนิลจินดาต่างๆ  มีลักษณะอย่างไร  เขาคาดคะเนว่า  หินที่งดงาม
เหล่านี้คงเป็นอัญมณีเป็นแน่  ในที่สุดก็เลือกเอาหินที่สวยที่สุดก้อนหนึ่งนำกลับบ้าน






  

     วันรุ่งขึ้น เขาเข้าไปในเมือง หาเจอะร้านอัญมณีแห่งหนึ่ง ได้นำหินก้อนนั้นให้เจ้าของร้านดู เจ้าของร้านอัญมณีรับหินก้อนนั้นไปพินิจพิจารณาดูอย่างละเอียด แล้วบอกว่า

    “นี่เป็นอัญมณีล้ำค่าหายากชนิดหนึ่ง แกขายให้ฉันก็แล้วกัน ฉันให้ราคา 1 หมื่นเหรียญ”
ชาวนาได้ยินคำพูดนั้นแล้ว รู้สึกดีใจมาก แต่แสดงท่าทางทำเป็นเฉยๆ ไม่ตื่นเต้น ตอบไปว่า
     “ตอนนี้ฉันยังไม่อาจตัดสินใจได้ว่าจะขายหรือไม่ พรุ่งนี้เราค่อยคุยกันอีกทีก็แล้วกัน”
พอชาวนานั้นกลับถึงบ้าน ก็รีบระดมทุกคนในครอบครัว ขึ้นไปขนก้อนหินหลากสีเหล่านั้นลงมา 
ช่วยกันขนตลอดวัน ขนหินเหล่านั้นมาได้ 2 กระสอบใหญ่




          


เขาใช้เกวียนขนหิน 2 กระสอบนั้นเข้าไปในเมือง กระหยิ่มใจว่าคราวนี้จะต้องร่ำรวยมหาศาล
แน่นอน แต่พอเจ้าของร้านอัญมณีเห็นหินเหล่านั้นแล้วกลับยิ้มอย่างเย็นชา พลางบอกเขาว่า
            “หิน 2 กระสอบใหญ่นี้ ฉันให้ราคาแก 1 เหรียญเอาไหม”



ท่านสาธุชนทั้งหลาย....

   “สิ่งดีที่มากเกินก็อาจทำให้ดูด้อยค่า” โดยทั่วไปคนเราตัดสินใจเรื่องต่างๆ ด้วยองค์ประกอบ
สำคัญ 2 ประการคือ ด้วยเหตุผลและด้วยอารมณ์ และคนจำนวนไม่น้อยเลยที่องค์ประกอบด้าน
อารมณ์ความพอใจ มีอิทธิพลเหนือกว่าองค์ประกอบด้านเหตุผล เหมือนอาหารแม้มีสีสารอาหาร
ครบถ้วนบริบูรณ์ แต่ถ้าไม่อร่อยก็ไม่ค่อยมีใครอยากรับประทาน ตรงกันข้าม อาหารที่มีคุณค่า
ทางโภชนาการเพียงพอประมาณ แต่มีรสชาติอร่อย ผู้คนกลับนิยมชมชอบ 

     เมื่อเราทราบอย่างนี้แล้ว ในการติดต่อสัมพันธ์กับคนทั้งหลาย เราจึงต้องคำนึงถึงอารมณ์
ของอีกฝ่ายหนึ่งให้มากๆด้วย จะคิดแต่เพียงว่าเราถูก เรามีเหตุผลเพียงเท่านั้นไม่ได้ ต้องมี
ศิลปะในการนำเสนอ รู้จังหวะจะโคน รู้กาลเทศะ เราจะประสบความสำเร็จในการงาน บางครั้ง
เรื่องดีๆ แต่นำเสนอมากไป พูดมากไป อาจถูกแปลเจตนาผิด หวังดีเลยกลายเป็นร้าย หรือถูก
มองเป็นของไร้ค่าไปได้ เหมือนชายชาวนาในเรื่องนี้เป็นต้น




Cr. พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ M.D.,Ph.D
วัดพระธรรมกาย



------------------

วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2560

มังกรสอนใจ ตอน พรานป่ากับนายประตู

               
พรานป่ากับนายประตู


           กาลครั้งหนึ่งมีพรานป่าสองพ่อลูก อาศัยอยู่ในป่าใหญ่แห่งหนึ่ง กลางวันพ่อก็ออกไปล่าสัตว์ ส่วนลูกก็อยู่ดูแลบ้าน หุงหาอาหารไว้คอยท่า อยู่กันมาด้วยความสุข วันหนึ่งพ่อออกไปล่าสัตว์บังเอิญถูกงูเห่ากัด พยายามฝืนความเจ็บปวด ลากสังขารกลับมาบ้านและสั่งเสียลูกชายก่อนตายว่า ให้นำของดีประจำตระกูลคือนอแรดอันสวยงามไปกราบพระราชา เพื่อขอฝากถวายตัวให้พระองค์ชุบเลี้ยงต่อไป

            หลังจากเผาศพพ่อเรียบร้อยแล้ว ลูกชายก็นำนอแรดเดินทางไปที่วังของพระราชา  พบนายประตูชั้นนอกของพระราชวังอ้อนวอนนายประตูวังให้พาไปเข้าเฝ้าพระราชา นายประตูเห็นนอแรดงดงามเช่นนั้น คิดว่าหนุ่มน้อยคนนี้ คงได้รับพระราชทานรางวัลจากพระราชาจำนวนมาก จึงเกิดความโลภ บอกชายหนุ่มว่า จะพาเข้าไปก็ได้  แต่เมื่อได้รับพระราชทานรางวัลแล้วต้องแบ่งให้ตนครึ่งหนึ่ง  ชายหนุ่มก็ตอบตกลง นายประตูวังชั้นนอกจึงพาชายหนุ่มเข้าไปส่งที่ประตูวังชั้นใน


พรานป่ากับนายประตู



นายประตูวังชั้นใน เมื่อทราบเรื่องราวก็เกิดความโลภเช่นกัน จึงบอกชายหนุ่มว่า จะพาเข้าเฝ้าต่อเมื่อชายหนุ่มรับปากว่าจะแบ่งรางวัลให้ครึ่งหนึ่ง ชายหนุ่มก็ตอบตกลงอีก นายประตูวังชั้นในจึงพาชายหนุ่มเข้าเฝ้าพระราชา

เมื่อพระราชาทอดพระเนตรเห็นนอแรดนั้นแล้ว มีความพอพระทัยมาก ถามชายหนุ่มว่าต้องการรางวัลอะไร ชายหนุ่มทูลตอบว่าขอพระองค์โปรดพระราชทานรางวัล 2ประการคือ
1.ขอให้พระองค์รับตนไว้เป็นข้าละอองธุลีพระบาทตลอดไป
2.ขอให้พระราชทานรางวัลโดยโบยหลังตน 100 ที

พระราชาแปลกใจมาก ถามว่าทำไมเจ้าถึงต้องการรางวัลโง่ๆอย่างนั้น ทำให้ตนเจ็บตัวเปล่าๆ  ชายหนุ่มจึงทูลเล่าความจริงให้ฟัง  ว่าไม่ได้ต้องการรับการเฆี่ยนตีเอง  แต่ขอแบ่งรางวัลให้นายประตูทั้งสองคนละครึ่ง


นายประตูชั้นในทราบเรื่องราวก็เกิดความโลภ


เมื่อทรงทราบแล้วพระราชาทรงพิโรธมาก สั่งให้ทหารนำตัวนายประตูทั้งสองไปเฆี่ยนคนละ 50ที และแต่งตั้งชายหนุ่มนั้นเป็นมหาดเล็กประจำพระองค์ ชายหนุ่มนั้นรับราชการด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ขยันหมั่นเพียร ภายหลังก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นลำดับ จนได้เป็นขุนวังของพระนคร




ท่านสาธุชนทั้งหลาย....
ความโลภนี้ไม่ดีเลย  จะนำตัวเราไปสู่หนทางเสื่อม  หากเราปรารถนาทรัพย์แล้ว ก็ต้องเร่งขวนขวายในการประกอบกิจการงานจึงจะควร  อย่าได้หวังรวยทางลัด  ทรัพย์ที่ได้มาโดยมิชอบ จะนำทุกข์ในบั้นปลายมาให้เสมอ


ตลอดระยะเวลา ที่บาปยังไม่ให้ผล
คนพาลสำคัญบาปเหมือนน้ำผึ้ง
บาปส่งผลเมื่อใด คนพาลย่อมเข้าถึงทุกข์เมื่อนั้น

(ขุ. ธ. 25/15/24)


Cr. พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ M.D.,Ph.D
วัดพระธรรมกาย

*****************



วันศุกร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2560

มังกรสอนใจ ม่อจื้อดูการย้อมผ้า (การอยู่ใกล้คนเช่นไรย่อมเป็นคนเช่นนั้น)

ม่อจื้อดูการย้อมผ้า
  

  ม่อจื้อเป็นนักปราชญ์คนหนึ่ง ในสมัยสงคราม 7แคว้นของจีน มีอยู่คราวหนึ่ง เขาพาลูกศิษย์

เดินผ่านโรงย้อมผ้าแห่งหนึ่ง และก็หยุดยืนดูการย้อมผ้าอยู่หน้าประตูโรงงาน



  

 



    พวกเขาเห็นคนงานนำเอาผ้าไหมที่ขาวราวปุยหิมะจำนวนมาก แช่ลงในถังย้อมสีทีละมัดๆ
ชั่วครู่เดียวผ้าไหมเหล่านั้นก็ย้อมติดเป็นสีต่างๆ ที่ใส่ลงไปในถังย้อมสีน้ำเงิน ก็กลายเป็น
สีน้ำเงิน ที่ใส่ลงไปในถังย้อมสีเหลืองก็ถูกย้อมกลายเป็นสีเหลือง
   ม่อจื้อดูคนงานเหล่านั้นย้อมผ้าอยู่อย่างเงียบๆ ไม่พูดอะไรแม้คำเดียวแต่บนใบหน้ากลับแสดง
ความรู้สึกอย่างมากมาย และแล้วเขาก็ถอนหายใจยาว พูดรำพึงกับตัวเองว่า “ช่างเป็นหม้อ
ย้อมอันร้ายกาจอะไรเช่นนี้”


ลูกศิษย์ถามม่อจื้อว่า “อาจารย์ ท่านพูดอย่างนี้มีความหมายอะไรหรือครับ”
    ม่อจื้อตอบว่า “พวกเธอจงดูผ้าไหมขาวบริสุทธิ์เหล่านั้น พอใส่ลงในหม้อย้อม ก็เปลี่ยนสีไป
ทันที   ที่อยู่ในถังสีเหลืองก็กลายเป็นสีเหลือง  ที่อยู่ในถังสีดำก็กลายเป็นสีดำ  ไม่อาจฟื้นคืนสู่
สภาพเดิมได้อีก คนเราก็เช่นเดียวกัน เด็กเล็กทั้งหลายต่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสา เหมือนผ้าไหมที่
ขาวราวหิมะ  แต่พอเข้าสู่สังคม  สัมผัสกับบุคคลอื่น  ตั้งแต่ในครอบครัว  จนถึงสังคมภายนอก  
ก็จะรับอิทธิพลจากคนรอบข้างได้อย่างง่ายดาย ที่อยู่กับคนดีก็กลายเป็นคนดี ที่อยู่กับคนเลวก็
กลายเป็นคนเลวไปด้วย อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อคนเราช่างมากจริงๆ”




           


     

  ลูกศิษย์ของม่อจื้อบอกว่า “ท่านอาจารย์พูดถูกจริงๆ ยุวชนคนหนุ่มสาวทั้งหลายควรจะต้องมี
ความสุขุมรอบคอบระมัดระวังในการคบหาสมาคมให้มากๆ




ท่านสาธุชนทั้งหลาย......

     ในการคบคนเราจำเป็นต้องเลือกคบคน และวิธีการเลือกไม่ใช่เลือกตามความชอบใจ ใครมาเอาอกเอาใจ ทำถูกใจ  เราก็ชอบคนนั้น คบคนนั้น  แต่มีหลักง่ายๆอยู่ว่า ใครที่เราอยู่ใกล้เขา คบ
เขาแล้วทำให้ความโลภ  ความโกรธ  ความหลงในตัวเรา  เพิ่มมากขึ้นเช่นทำให้อยากได้  ทรัพย์
มาในทางไม่ถูกต้อง คอยยุให้รำตำให้รั่วทำให้เราโกรธเกลียดระแวงคนอื่นๆหรือคอยชักชวนให้
เราลุ่มหลงมัวเมาในอบายมุข  คนอย่างนี้เรียกว่าคนพาล ไม่ควรคบ ควรหลีกไปให้ไกลๆ แต่คน
ไหนคบแล้ว ทำให้เราอยากทำความดีให้ทาน รักษาศีล ทำสมาธิภาวนา คนอย่างนี้เรียกว่า
บัณฑิต ควรคบ


     และที่ต้องระวังอย่างยิ่งก็คือ ระวังไม่ให้ตัวของเราเองกลายเป็นคนพาล ต้องฝึกตัวให้เป็นคน

คิดเป็น(มีโยนิโสมนสิการ) ตรวจสอบตัวเองง่ายๆ ว่าคิดเป็นหรือไม่ คือ ถ้าอยากได้อะไร ยิ่งคิด
ยิ่งโลภยิ่งอยากได้ หรือกำลังโกรธใคร ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธแค้น กำลังหลงยิ่งคิดยิ่งหลงมัวเมา
แสดงว่าคิดไม่เป็น คนคิดเป็น ยิ่งคิดความโลภก็ลดลง  ความโกรธคลาย  สบายใจ  ความลุ่มหลง
มัวเมานั้นเบาบาง  ยิ่งคิดก็ยิ่งมีใจที่ปลอดโปร่ง ใครรู้จักเลือกคบคนและฝึกตัวเองให้คิดเป็น
ชีวิตจะมีความสุข เจริญรุ่งเรือง ทั้งภพนี้ตลอดภพหน้า



Cr. พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ M.D.,Ph.D 
วัดพระธรรมกาย


______________________




วันนี้พวกเราได้จัดสภาพแวดล้อมดีๆ สังคมดีๆ
และเลือกเพื่อนดีๆ ให้ลูกหลานเราคบหรือยัง?



วันศุกร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2560

มังกรสอนใจ ตอนหอกกับโล่


หอกกับโล่

เขานำหอกและโล่ไปขายในตลาด
        

     มีอยู่วันหนึ่ง ช่างทำอาวุธคนหนึ่งในแค้วนฉู่ นำหอกกับโล่ไปขายในตลาด หอกและโล่ของ
เขาทำขึ้นอย่างประณีตงดงามมาก ฝีปากของเขาก็ไม่เลวทีเดียว  ดังนั้นในไม่ช้าจึงมีผู้คนรุม
ล้อมดูมากมาย

     เขาหยิบหอกขึ้นมา ป่าวประกาศกับทุกคนว่า.....   “หอกของฉันเป็นหอกที่คมที่สุดในแผ่นดิน 
ไม่มีอะไรที่มันจะแทงไม่ทะลุ ใครซื้อมันไว้ในครอบครองแล้วละก็ ถ้าไปล่าสัตว์ รับรองว่าจะต้อง
หามสัตว์กลับจนไหล่ลู่ทีเดียว มิฉะนั้น หากไปรบก็รับรองว่า จะต้องประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่”

แม้ทุกคนจะสนใจที่เขาพูดมาก แต่ก็ไม่มีใครซื้อ ดังนั้นเขาจึงวางหอกเล่มนั้นลง หยิบโล่ขึ้นมา
พูดกับทุกคนว่า

“พวกท่านดู โล่อันนี้ทำขึ้นจากหนังสัตว์ที่ดีที่สุด เป็นโล่ที่เหนียวแน่นทนทานที่สุดในใต้ฟ้า ไม่ว่า
อาวุธอะไรก็ไม่สามารถแทงผ่านทะลุมันได้”

เขาเอาโล่อันนั้นส่งให้ทุกคนดูต่อๆกันไป หวังว่าจะมีใครสักคนซื้อ ขณะที่โล่อันนั้นส่งถึงมือเด็ก
ชายคนหนึ่ง เด็กคนนั้นพิจารณาดูโล่อันนั้นอย่างสนใจ รู้สึกชอบโล่นั้นมาก แต่ทันใดนั้นเองบน
ใบหน้าของเด็กก็แสดงออกถึงความฉงนสนเท่ห์ขึ้นมา หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เด็กคนนั้นก็ถาม
ช่างทำอาวุธว่า



ถ้าเอาหอกของท่านแทงโล่ของท่านจะเป็นอย่างไร?


    


     "ท่านเพิ่งพูดหยกๆ ว่าหอกของท่านเป็นหอกที่คมที่สุดในแผ่นดิน ไม่มีอะไรที่่มันแทงไม่ทะลุใช่ใหม"

ช่างทำอาวุธตอบว่า “เออ....”
     เด็กถามต่อด้วยสีหน้าที่แสดงความสงสัยว่า “ผมหมายความว่า ถ้าใช้หอกของท่านแทงโล่
ของท่าน ผลลัพท์จะเป็นอย่างไร”
     ผู้คนที่รุมล้อมอยู่ฟังแล้วต่างก็หัวเราะกันอย่างครื้นเครง ช่างทำอาวุธคนนั้นอายจนหน้าแดง 
หูแดง พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว



ท่านสาธุชนทั้งหลาย..........



        เราอย่าเป็นคนขี้โอ่  ชอบโอ้อวดกันนะจะพูด 
จะแสดงอะไรก็ว่าไปตามเนื้อผ้า อย่าใส่สีตีไข่
เราจะได้ไม่ต้องอับอายขายหน้า  เดือดร้อนภายหลัง และขอให้แสดงออกมาตามที่เป็นจริง โดย
แฝงไว้ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน เราจะได้รับความเคารพยกย่องเกรงใจจากบุคคลอื่น และอยู่
อย่างเป็นสุข


กุหา ถทฺธา ลปา สิงฺคี อุนฺนฬา จาสมาหิตา
น เต ธมฺเม วิรูหนฺติ สมฺมาสมฺพุทฺธเทสิเต
คนหลอกลวง เย่อหยิ่ง เพ้อเจ้อ ขี้โอ่ อวดดี และไม่ตั้งมั่น
ย่อมไม่งอกงามในธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว


(องฺ จตุกฺก. 21/36)


Cr. พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ M.D.,Ph.D
วัดพระธรรมกาย



      *************************



     สังคมในสมัยนี้คนที่ชอบพูดจาอะไร  เกินความเป็นจริงมีเยอะ เราควรฟังอย่างมีสติ พิจารณาให้รอบคอบ อย่าคล้อยไปตามคำโฆษณา การรับฟังข่าวสารใดๆก็ควรตรวจสอบให้แน่นอนเสียก่อน มิเช่นนั้นอาจจะตกเป็นเหยื่อของข่าวสาร
     แต่ถ้าเราเสพข่าวสารอย่างชาญฉลาด จะทำให้เราสามารถเปิดหน้ากากผู้ที่ให้ข่าวสาร เกินความเป็น
จริงได้ จนเขาเหล่านั้นต้องกลับมาพิจารณาตนเองใหม่.....




วันพุธที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2560

มังกรสอนใจ ตอนคนขายเนื้อ การได้อะไรมาง่ายๆไม่สมเหตุผลต้องระวัง




คนขายเนื้อ

     ที่แคว้นฉีมีชายขายเนื้อคนหนึ่ง  เปิดร้านขายเนื้อเล็กๆ  ซึ่งมีกิจการไม่เลวทีเดียว  เขาจัดเป็น
คนธรรมดาสามัญที่สุดคนหนึ่ง แต่มีความเข้าใจชีวิตดี  มีความพอใจในอาชีพ  และความเป็นอยู่
ของตนเอง ไม่คิดฟุ้งซ่านสร้างวิมานในอากาศ

    มีวันหนึ่ง กษัตริย์แคว้นฉีส่งอำมาตย์คนหนึ่งมาที่บ้านของคนขายเนื้อนั้น อำมาตย์คนนั้นบอก
กับเขาว่า... 
   “องค์กษัตริย์  มีพระราชประสงค์จะยกพระธิดาให้ท่าน   ถ้าท่านตอบรับ   ไม่เพียงแต่จะได้รับ
สินสอดเงินทองมากมายมหาศาล ยังสามารถรับราชการเป็นขุนนางผู้ใหญ่ได้ด้วย  นี่เป็นโอกาส
ที่ยากจะพบพานในรอบพันปี   ข้าพเจ้าคิดว่าท่านคงไม่ปฏิเสธกระมัง”





   

ชายขายเนื้อตอบไปว่า

“ข้าพเจ้ารู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณขององค์กษัตริย์เป็นอย่างยิ่ง แต่ข้าพเจ้าไม่อาจรับ
เรื่องนี้ไว้ได้เพราะข้าพเจ้าเป็นโรคชนิดหนึ่งซึ่งไม่มีทางรักษาหาย ขอท่านช่วยกราบขอพระราช
ทานอภัยโทษ และกราบบังคมทูล ถึงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นของข้าพเจ้าด้วย”
    หลังจากอำมาตย์คนนั้นกลับไปแล้ว  เพื่อนบ้านและมิตรสหาย ของคนขายเนื้อ ต่างรุมตำหนิ
เขาว่าไม่ควรปล่อยให้โอกาสดีเช่นนี้หลุดมือไป
   ชายคนขายเนื้อจึงชี้แจงว่า   “พวกท่านคิดว่านี้เป็นโอกาสดีหรือ    ตัวฉันกลับไม่คิดเช่นนั้น  
ในใต้ฟ้า ไหนเลยจะมีเรื่องราวที่สะดวกง่ายดายอย่างนี้  แคว้นฉีมีชายหนุ่มที่หล่อเหลาคมคาย
สติปัญญาดีอยู่มากมาย แต่องกษัตริย์ไม่ยกพระธิดาให้คนอื่น กลับประจวบเหมาะมาพอใจตัวฉัน ถ้าไม่ใช่เพราะพระราชธิดามีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์อย่างยิ่ง  ก็แสดงว่าต้องมีข้อบกพร่อง
อะไรที่ร้ายแรงอยู่อย่างแน่นอน  ถึงแม้ฉันจะเป็นเพียงคนขายเนื้อคนหนึ่ง ก็ไม่อาจที่จะแต่งงาน
กับหญิงที่ตนไม่ชอบเลย เพียงเพื่อทรัพย์สินเงินทอง”






     
     ทุกคนแม้จะรู้สึกว่าคำพูดของเขามีเหตุผลอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่รู้สึกคล้อยตามไปเสียทั้งหมด 
มีคนหนึ่งถามเขาว่า
     “แกไปเอาความคิดนี้มาจากไหน”
คนขายเนื้อตอบว่า
     “ฉันเป็นคนขายเนื้อ เรื่องอะไรอื่นฉันไม่ค่อยรู้มากนัก แต่เป็นเรื่องการขายเนื้อละก็ ฉันคือผู้
เชี่ยวชาญเนื้อสดใหม่แม้ราคาจะแพงขึ้นสักเล็กน้อยผู้คนก็รุมกันซื้อ แต่ถ้าเป็นเนื้อเก่าที่เริ่มส่ง
กลิ่น แม้จะขายราคาถูก แล้วยังแถมกระดูกติดมันให้อีก ก็ไม่มีใครต้องการ”




ท่านสาธุชนทั้งหลาย.....


   คนจำนวนมากในโลกชอบคิดเข้าข้างตนเอง เวลาจะรักใครชอบใคร บางทีก็รู้ทั้งรู้ว่าคนๆนั้น
เป็นคนไม่ดี ชอบยุ่งอบายมุข เจ้าชู้เป็นต้น  แต่ก็ปลอบใจตนเองว่า  เขาอาจจะไม่ดีกับคนอื่น 
แต่เราเป็นบุคคลพิเศษ เขาต้องดีกับเราแน่ๆเลย เสร็จแล้วก็ต้องมานั่งน้ำตาตกในภายหลัง หรือ
บางครั้ง เวลามีคนเอาทรัพย์ เอาความโลภมาล่อ  ทั้งๆที่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูด  ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล 
น่าสงสัยแต่ก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าคงเป็นโชคของเรา รีบคว้าเอาไว้ก่อนดีกว่า แล้วก็มีเรื่องเดือด
ร้อนเสียหายตามมาภายหลัง  ความจริงแล้ว  การคิดเข้าข้างตัวเองอย่างนี้  คือการยอมแพ้ต่อ
อำนาจกิเลส ความโลภ ความหลง ในตัวนั่นเอง  แล้วหาเหตุผลมาบอกกับตัวเอง เพื่อจะทำตาม
ความอยากของตัว ถ้าเพียงแต่เรา  ฝึกให้ตนเองเป็นคนรู้จักพอ คิดอะไรสุขุมรอบคอบ ดูเหตุ 
ดูผล ดูทั้งได้ทั้งเสียให้รัดกุม ไม่โลภ ไม่หวังลาภลอย เราจะขจัดเรื่องเดือดร้อนออกจากชีวิต 
ไปได้มากทีเดียว และจะดำเนินชีวิตไปด้วยความสุขตามอัตภาพของตน





ตุฏฐี สุขา ยา อิตรีตเรน

พอใจตามมี ยินดีตามที่ได้ นำสุขมาให้
(ธรรมบท 25/49)




Cr. พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ M.D.,Ph.D 
วัดพระธรรมกาย





      *************************


เรื่องนี้ทำให้นึกถึงคำที่ว่า ของฟรีไม่มีในโลก ได้อย่างชัดเจน อะไรที่ีได้มาง่ายเกินไป
แบบไม่สมเหตุผล มักจะมีของแถมตามมาด้วยเสมอ เราทั้งหลายเจอะกันบ้างใหม?





ปัญหาเรื่องพระอาทิตย์ (ไม่ควรถกเถียงกัน ด้วยเรื่องที่ต่างก็ไม่รู้จริง) มังกรสอนใจ

ปัญหาเรื่องพระอาทิตย์           เด็กคนแรกพูดว่า "พระอาทิตย์ตอนเพิ่งพ้นขอบฟ้าเวลาเช้าดวงกลมโต โตพอ ๆ กับล้อรถเลย แต่พอกลางวันก็เล็กล...