วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2560

โจรชิงกำไล

เรื่องราวของโจรชิงกำไล


    เช้าวันหนึ่ง มีสตรีชาวเมืองจีม่อแคว้นฉีคนหนึ่ง ถือตะกร้าเดินไปจ่ายตลาด ครอบครัวของเธอร่ำรวยมากและเธอก็เป็นคนชอบแต่งตัวประดับประดาเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่จึงเป็นชุดทันสมัยสวยงามที่ข้อมือขวา
ของเธอสวมกำไลทองคำคู่หนึ่ง สะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกายแวววับ....

   เธอเดินออกจากบ้านไมนานก็รู้สึกว่ามีชายคนหนึ่งเดินตามติดอยู่เบื้องหลัง รักษาระยะห่างจากตัวเธอ
ไม่ไกลนัก เธอสงสัยอยู่บ้าง แต่พอคิดดูอีกทีชายคนนั้นแต่งตัวสุภาพเรียบร้อย มีท่าทางเป็นสุภาพบุรุษดู
ไม่เหมือนคนร้าย ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรอีก

  เมื่อเธอเดินเกือบถึงตลาดสองข้างทางเป็นร้านค้าเรียงราย ผู้คนเดินไปเดินมาบนถนนขวักไขว่ คาดไม่ถึงในขณะนั้นเอง ชายคนนั้นก็ลงมือชิงกำไลทองที่ข้อมือของเธอ แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว เธอรีบร้องตะโกนเสียงดังขึ้นทันทีว่า





               “ช่วยด้วย ช่วยจับโจรด้วย เขาชิงเอากำไลทองของฉันไป”
     ผู้ที่สัญจรไปมาต่างช่วยกันไล่ตามโจรนั้นไป ชั่วครู่เดียวก็จับได้ ส่งไปสถานีตำรวจที่สถานีตำรวจ ชายคนนั้นยอมสารภาพแต่โดยดี ว่าตนแย่งชิงเอาของของคนอื่น  พร้อมกับคืนกำไลทองคู่นั้นให้ตำรวจ ตำรวจถามเขาว่า
  “ฉันรู้สึกประหลาดใจมาก สถานที่เกิดเหตุเป็นย่านการค้า มีผู้คนพลุกพล่าน เจ้ารู้ชัดๆ อยู่แล้วว่าหนีไม่
รอดแน่ แล้วทำไม่ยังลงมือชิงของของคนอื่นอีก”
    โจรชิงกำไลคนนั้นตอบว่า
“ตั้งแต่เริ่มต้น กระผมก็ไม่ได้เห็นผู้คนที่เดินไปมาใดๆทั้งสิ้น ตาของกระผมมองเห็นแต่ กำไลทองที่ส่งประกายแวววับคู่นั้นเท่านั้น”




ท่านสาธุชนทั้งหลาย.....

     เราอ่านเรื่องนี้แล้วดูเผินๆอาจจะมีความรู้สึกขำๆว่าคนโง่ๆอย่างนี้ก็มีในโลกแต่ขอให้ลองตรึก
ตรองให้ดีเถิด เราจะพบว่า คนในโลกเป็นเหมือนโจรชิงกำไลทองคนนี้มากมาย  
    แม้ตัวเราเองบางครั้งก็อาจเคยเป็น  การกระทำอาจไม่รุนแรงถึงขนาดลงมือฉกชิงวิ่งราวใครแต่
เรื่องราวก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน เมื่อใดที่เกิดความโลภเข้ามาคลุมใจ  เมื่อนั้นสติสัมปชัญญะ 
ความยับยั้งชั่งใจ การไตร่ตรองเหตุผลโดยสุขุมรอบคอบก็จะหมดไป  เห็นแต่ได้ไม่เห็นเสีย
กว่าจะรู้ตัวก็มักสายเสียแล้ว ต้องมานั่งนึกเสียใจภายหลัง
       ดังนั้นจากนี้ไป ขอให้เราอย่างปล่อยให้ความโลภคลุมใจ อย่าคิดรวยทางลัด ฝึกให้เป็นคนมี
สันโดษ คือ ยินดีในสิ่งที่เรามี ยินดีในสิ่งที่เราได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตน  และยินดีแต่ในสิ่งที่
ถูกต้องสมควรเท่านั้น ความสุขกายสบายใจจะเกิดขึ้นกับเราตลอดเวลา

จาตุทฺทิโส  อปฺปฏิโฆ จโหติ สนฺตุสฺสมาโน อิตรีตเรน
ผู้สันโดษย่อมอยู่เป็นสุขในทิศทั้งสี่ และเป็นผู้ไม่มีความอึดอัด
(องฺ. จตุกฺก.  35/532)




Cr. พระมหาสมชาย ฐานะวุฑโฒ
วัดพระธรรมกาย

-----------------------------------------




บางครั้งการทำงานของเรา บางทีเราจดจ่อเฉพาะเรื่องงานของเราอย่างเดียว จนลืมดูสิ่งรอบข้าง ว่าจะมีผลกระทบต่อความเสียหายกับผู้อื่นและตัวเราเอง ซึ่งคนทั่วไปมองว่านี่คือความไม่รอบคอบ   
เราท่านทั้งหลายเคยเป็นกันบ้างหรือเปล่า....?
ถ้าเคยมีคงต้องรีบปรับปรุงโดยด่วนมิเช่นนั้นจะเข้าข่าย เป็นพวกโจรชิงกำไล


คือ   "รู้แต่ได้   แต่ไม่รู้เสีย....!!! "



วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2560

ชายโลเล


ชายโลเล 

 




       ในสมัยราชวงศ์ฮั่น ชายคนหนึ่งมีความมุ่งมาดปารถนาสูงสุดในชีวิต คือเป็นข้าราชการชั้นสูง
มีชื่อเสียง ร่ำรวย ทว่ามุมานะทำงานมาแล้วครึ่งชีวิตแต่ยังไม่มีความสำเร็จอย่างที่หวัง ทำงานจน
ผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะ ก็ยังคงเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยเท่านั้น  มีวันหนึ่งเขาเดินอยู่บนถนน
คิดถึงเรื่องราวชีวิตของตนยิ่งคิดก็จิ่งแค้นใจ จนสุดท้ายทนไม่ไหวร้องไห้โฮออกมา
       มีคนเดินผ่านมาคนหนึ่ง เห็นเขาร้องไห้อย่างรวดร้าวใจเช่นนั้น คิดว่าเขาคงประสบภัยพิบัติ
อะไรที่คาดไม่ถึง จึงเข้าไปปลอบประโลมว่า 
      “ท่านผู้เฒ่า ทำไมท่านจึงร้องไห้อย่างรวดร้าวใจเช่นนี้ ท่านอายุก็มากขนาดนี้แล้วควร
ระมัดระวังถนอมสุขภาพด้วย” 
      
     ผู้เฒ่านั้นกล่าวว่า 
“คุณไม่รู้อะไร ตัวฉันเองตั้งแต่ยังเล็ก ก็ตั้งปณิธานไว้อย่างแน่วแน่ว่า จะต้องเป็นข้าราชการชั้นสูง
สร้างชื่อเสียงเกียรติยศ ชื่อเสียงแก่วงศ์ตระกูลให้ได้ แต่ปัจจุบันฉันอายุ 60 ปีเศษแล้ว ยังคงเป็น
ข้าราชการชั้นผู้น้อยอยู่ ดูแล้วชาตินี้คงไม่มีทางสมปรารถนาแล้ว”

     ชายเดินถนนถามเขาอีกว่า
“ที่แท้ท่านมีปณิธานอ้นยิ่งใหญ่ตั้งแต่ยังเด็ก แล้วทำไมความปรารถนาของท่านจึงไม่สัมฤทธิ์ผลล่ะ”






ชายผู้เฒ่าตอบว่า

“เมื่อตอนฉันยังหนุ่มฮ่องเต้ทรงโปรดปรานอักษรศาสตร์ ฉันจึงไปเรียนอักษรศาสตร์ มีความเชื่อมั่นว่าตนเองเรียนได้ดีทีเดียว แต่ฮ่องเต้ชอบใช้คนมีอายุ บอกว่าฉันยังไม่มีประสบการณ์ เพราะฉะนั้น ยังไม่แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญได้รอจนฉันมีอายุเริ่มย่างเข้าวัยกลางคนฮ่องเต้องค์เดิมสวรรคต


ฮ่องเต้องค์ใหม่ทรงโปรดปรานการสู้รบ ฉันจึงวางมือจากอักษรศาสตร์ ไปเรียนวิชาการต่อสู้คาด


ไม่ถึง ฉันยังเรียนศิลปะการต่อสู้ไม่ทันสำเร็จฮ่องเต้องค์ใหม่ก็สวรรคตไปอีกฮ่องเต้องค์ถัดมาอายุยังน้อย


ชอบใช้คนหนุ่ม แต่ตัวฉันนั้นเริ่มชราแล้ว ฉันพยายามปรับตัวตามความชอบของฮ่องเต้ทุกอย่าง สามารถ


พูดได้ว่า ได้ทุ่มเทความพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ว่าคาดไม่ถึง ในที่สุดก็ต้องประสบกับผลลัพธ์เช่นนี้ แล้วทำไมฉันจะไม่รวดร้าวใจ”






ชายเดินถนนคนนั้น ทั้งๆที่เห็นอกเห็นใจในชะตากรรมของผู้เฒ่านั้นมาก แต่กลับนึกไม่ออกว่าจะ


ใช้คำพูดอย่างไรมาปลอบประโลมเขาดี










ท่านสาธุชนทั้งหลาย......






การวางทิศทางการทำงานของตัวเองนั้น ไม่ควรนำไปผูกติดกับตัวบุคคลอื่น เพราะเป็นเงื่อนไขที่


เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ความชอบความพอใจของคนเรา ก็เปลี่ยนแปลงได้เสมอ ถึงแม้ความชอบ

ไม่เปลี่ยน เงื่อนไขก็อาจเปลี่ยนได้ จากการพ้นตำแหน่งหรือการตาย ดังเช่นในเรื่องนี้สิ่งที่เราควรทำ

คือ สำรวจตัวเองว่าเรามีความถนัด มีความชำนาญในเรื่องอะไร หาทางทำงานที่เราถนัดสามารถใช้

ศักยภาพตัวเองได้อย่างเต็มที่


และงานนั้นต้องเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ ต่อสังคมส่วนรวมด้วย การผูกทิศทางการทำงานของเรา


เข้ากับประโยชน์ขององค์กร หรือสังคมส่วนรวมเป็นเงื่อนไขที่เปลี่ยนแปลงได้ยากกว่า มีความมั่นคง


มากว่า การปรับตัวตามผู้บังคับบัญชาเป็นสิ่งจำเป็นควรทำแต่ควรเป็นการปรับในแง่มนุษย์สัมพันธ์


และสไตล์การทำงานเท่านั้น ตัวเนื้อหาของงาน ที่เราทำนั้นควรให้มีความต่อเนื่อง ไม่โลเลเปลี่ยนใจ


ไปมา ต้องฝึกตัวเองอย่างต่อเนื่อง ให้มีความสามารถความชำนาญจริงๆ สุดท้ายความสำเร็จก็จะเป็น

ของเรา ยิ่งถ้าเรารู้จักวางเป้าความสำเร็จไว้ อยู่ที่ความสำเร็จของงาน ประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับองค์กร

และสังคมส่วนรวม ไม่ใช่ว่าอยู่ที่ความก้าวหน้าของตัวเอง ซึ่งถือว่าเป็นผลพลอยได้ เราก็จะยิ่งทำงาน

อย่างสบายใจ และเป็นนักทำงานที่มีความสุข






วายเมเถว ปุริโส ยาว อตฺถสฺส นิปฺปทา


เกิดเป็นคนควรพยายามเรื่้อยไป จนกว่าจะสำเร็จ


(วิโรจนอสุรินทสูตร 15/313)





Cr. พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ M.D.,Ph.D.


วัดพระธรรมกาย










------------------------

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2560

ชายรูปงาม กับความจริงใจ



        

   ที่แค้วนฉีมีชายคนหนึ่งชื่อ โจวจี้ หน้าตาหล่อเหลาคมคาย รูปร่างลักษณะงดงาม เขารู้สึกภูมิใจในรูปร่างหน้าตาของตนเองอย่างมาก เช้าวันหนึ่งหลังจากล้างหน้าหวีผมสวมเสิ้อผ้าสวมหมวกแล้ว เขาก็ยีนชมรูปร่างหน้าตาตนเองอยู่หน้ากระจก และถามภรรยาของตนขึ้นว่า
     "ฉันกับสวีกงเปรียบเทียบกันแล้วใครมีหน้าตางดงามกว่ากัน"
   
     ภรรยาของเขาตอบว่า.....
"สวีกงเปรียบเทียบสู้ท่านได้อย่างไร"
 สวีกงเป็นผู้มีรูปโฉมสง่างามชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วประเทศ แต่ภรรยาของโจวจิ้กลับบอกว่าหล่อสู้
โจวจิ้นไม่ได้ โจวจิ้นฟังแล้วยังไม่ค่อยเชื่อดีนัก เขาจึงไปถามภรรยาน้อยของตนว่า.....
"เธอดูฉันกับสวีกงใครหล่อกว่ากัน"

     ภรรยาน้อยของเขาตอบว่า .....

"สวีกงไม่มีทางสู้ท่านได้อยู่แล้ว"
วันถัดมา มีแขกคนหนึ่งมาขอพบโจวจี้ หลังจากพูดคุยธุระเสร็จ โจวจี้ก็ถือโอกาสถามแขกคนนั้นว่า...
"คุณดูรูปร่างหน้าตาผมเปรียบเทียบกับสวีกงแล้วเป็นอย่างไร"

แขกคนนั้นตอบว่า

"ถึงแม้ว่าสวีกงจะเป็นชายที่มีหน้าตาดี แต่เมื่อเทียบกับท่านแล้ว ยังห่างไกลกันครับ"





  

               เขาฟังแล้วรู้สึกดีใจมาก  ผ่านไปไม่กี่วันสวีกงมีธุระได้มาที่บ้านโจวอี้ 
โจวอี้ได้สังเกตพินิจพิจารณาดูสวีกงอย่างละเอียด พบว่านอกจากมีรูปร่างหน้าตาดีแล้ว ยังมีบุคลิกที่สูงสง่าอย่างยิ่งแฝงอยู่ด้วย ตนเองเปรียบเทียบไม่ได้เลย ลองไปส่องกระจกดูอีกหลายๆรอบ พบว่าไม่เพียงแต่เปรียบเทียบไม่ได้เท่านั้นแต่ยังห่างกันไกลทีเดียว 
               หลังจากสวีกงกลับไปแล้ว โจวอี้มีท่าทางซึมเซา ไม่สดชื่น ขังตัวเองอยู่ในห้องหนังสือ  คิดตรึกตรองอยู่ครึ่งวัน ในที่สุดก็คิดได้ สว่างโพล่งขึ้นในใจพูดกับ
ตัวเองว่า
               "เห็นชัดๆ ว่ารูปร่างหน้าตาฉันไม่มีทางเปรียบกับสวีกงได้เลย"  แต่ภรรยาของฉันบอกว่าฉันหน้าตาดีกว่าสวีกง เพราะเธอรักฉัน ภรรยาน้อยของฉันบอกว่าฉันหน้าตาดีกว่าสวีกง เพราะเธอกลัวฉัน เพื่อนฉันบอกว่าฉันหน้าตาดีกว่าสวีกง เพราะเขามีธุระจะให้ฉันช่วย 


               "คิดจะได้ยินความเห็นถูกต้อง จากใจคนรอบข้าง ช่างเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย"






ท่านสาธุชนทั้งหลาย....
              
      คนส่วนใหญ่ในโลกปารถนาคำสรรเสริญเยินยอ เมื่อได้รับคำชมก็พึงพอใจทั้งที่หากพิจารณากันจริงๆแล้วจะพบว่าคำสรรเสริญเยินยอนั้นไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร
ให้น่าเชื่อถือได้ ยิ่งเป็นผู้นำที่มีอำนาจ หรือทรัพย์สมบัติ  ผู้ที่เข้ามาคอยป้อนคำสรรเสริญให้นั้น ก็มักเพราะว่าหวังประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง  
     ปากเขาแกล้งเยินยอเรา แต่ในใจจะนึกขันอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้   และวันใดที่เรา
เสื่อมลาภ เสื่อมยศบุคคลเหล่านั้นก็จะเหินห่างไปทันที ผู้ที่ติดในคำชมก็จะต้องมา
นั่งน้อยใจกลุ้มใจ  เราจึงไม่ควรเป็นคนหิวคำชม
    ไม่เอาใจเราไปยึดติดกับเงื่อนไขภายนอกซึ่งเปลี่ยนแปลงได้เสมอ  ไม่มีแก่สาร
สาระที่แท้จริง  แต่ขอให้อิ่มใจกับความดีที่ตนได้กระทำอิ่มใจกับคุณธรรมที่ตนมีแม้ไม่มีใครชมและพัฒนาคุณธรรมนี้ผูกไว้กับใจเรา  การผูกใจไว้กับเงื่อนไขภาย
ในเช่นนี้จะให้ความสุขที่ยั่งยืนทั้งภพนี้และภพหน้า


Cr. พระมหาสมชาย ฐานะวุฑฺโฒ M.D.,Ph.D.
วัดพระธรรมกาย


----------------------------------------



แล้วเราท่านทั้งหลาย
คิดว่าคนที่อยู่รอบข้างท่านคอยชมคอยเชียร์
เขาหวังอะไรในตัวท่านบ้าง...?





วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2560

นกปากซ่อมกับหอยกาบ




                ในวันฟ้าโปร่งอากาศแจ่มใส มีหอยกาบตัวหนึ่งนอนผึ่งแดดอยู่ที่ชายหาดทรายชายทะเล มันเปิดเปลือกหอยทั้ง 2 ข้างออกรับแดดอันอบอุ่นอย่างสุขสบาย  ในขณะนั้นเองมีนกปากซ่อมตัวหนึ่งเดินหาอาหารอยู่ในบริเวณไกล้เคียง มองเห็นเนื้อสีแดงของหอยกาบตัวนั้นสะท้อนแสงเป็นประกายวับๆ นกปากซ่อมดีใจมาก รีบตรงแน่วเข้าไป ใช้ปากจิกหมายจะกินเนื้อหอย หอยกาบเจ็บปวดแสนสาหัส  รีบหุบเปลือกหอยทั้ง2ข้างเข้าหากันอย่างรวดเร็ว   หนีบเอาจะงอยปากของนกปากซ่อมติดอยู่ในเปลือกหอยด้วย 




            

     นกปากซ่อมพยายามดึงจะงอยปากของตนออกสุดแรงเกิดแต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะหอยกาบหนีบไว้อย่างสนิทแน่น นกปากซ่อมเริ่มรู้สึกสำเนียกเสียใจบ้างแล้วแต่ก็แสดงท่าทีทำเป็นไม่แยแสพูดกับหอยกาบว่า 

               "แกช่างเป็นสัตว์ที่โง่จริงๆ แกมาหนีบจะงอยปากของฉันไม่ยอมปล่อยอย่างนี้ตัวแกเองก็เคลื่อนที่ไม่ได้ ถ้าวันนี้ฝนไม่ตก พรุ่งนี้ฝนก็ไม่ตก ตัวแกก็จะต้องแห้งตายแน่ๆ  ฉันคิดว่าทางที่ดีแกยังคงรีบคลายแล้วกลับลงน้ำไปจะดีกว่า"

               หอยกาบยิ้มอย่างเย็นชา  ตอบกลับมาว่า
"แกไม่ต้องมาทำพูดดี  ฉันไม่หลงกลแกแน่นอน ปากของแกถูกฉันหนีบอยู่อย่างนี้ วันนี้ก็กินอะไรไม่ได้ พรุ่งนี้ก็กินอะไรไม่ได้ แกก็จะต้องอดตายในไม่ช้า"




           สัตว์สองตัวนี้ เถียงกันไปมาอยู่ครึ่งค่อนวัน  ไม่มีใครยอมใคร พอดีมีชายชาวประมงคนหนึ่งกำลัง จะกลับบ้านเดินผ่านมา เห็นสัตว์2 ตัวหนีบติดอยู่ด้วยกัน  เขาพูดขึ้นอย่างดีใจว่า
           "โชคของฉันวันนี้ไม่เลวทีเดียว เมื่อทั้งคู่ตกลงกันไม่ได้ฉันก็ต้องคว้าโอกาสอันนี้ไว้แล้ว"

     และแล้วชายชาวประมงก็จับเอาสัตว์ทั้ง 2 ตัวนั้นขึ้นมาใส่ลงในชะลอมไม้ไผ่ด้วยกัน  วางแผนการไว้ว่าพรุ่งนี้จะเอาไปขายในตลาด





        ท่านสาธุชนทั้งหลาย.....
น ตํ ชิตํ สาธุ ชิตํ ยํ ชิตํ อวชิยฺยติ
--------------------------------
     
      เราอย่าเป็นคนถือทิฏฐิมานะ ดื้อดึงจะเอาชนะให้ได้ คนอย่างนั้นเป็นคนไม่น่ารัก ไม่มีใครอยากคบด้วย และจะทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ แล้วตัวเองต้องมานั่งเสียใจภายหลัง ขอให้เราเป็นคนรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว  รู้จักประนีประนอม มีหลักการชัดเจน  เมื่อใดที่รู้ว่าตัวเองทำพลาดไปแล้ว  ก็มีความกล้าหาญพอทีจะยอมรับผิดและปรับปรุงแก้ไข ไม่ดันทุรังเถียงข้างๆ คูๆ ไม่กลัวหน้าแตก คนที่รู้จักแพ้รู้จักถอยอย่างนี้  แทนที่จะเป็นการบั่นทอนศักศรีของตัว  ตรงกันข้ามกลับจะเป็นที่รักที่เคารพเกรงใจของคนอื่นๆ


ความชนะใดที่ชนะแล้วกลับแพ้ได้
ความชนะนั้นไม่ดี
(ขุ. ชา. เอก. 27/22)





Cr. พระมหาสมชาย ฐานะวุฑฺโฒ  M.D., Ph.D
วัดพระธรรมกาย



ลองหันกลับมาดูพวกเรากันเองสิว่า....
เรามีการไม่ลดราวาศอกกับใครอยู่หรือไม่..?
 เพราะผลสุดท้ายผู้อื่นก็อาศัยความแตกแยกของเราเป็นเครื่องมือ
 ตักตวงผลประโยชน์จากเรา


เข้าทำนองที่ว่า นั่งอยู่บนภูดูเสือกัดกัน

ใครแพ้เดี๋ยวค่อยไปเก็บหนังเสือเอามาใช้งาน

ไม่ต้องไปลำบากตามล่า




ปัญหาเรื่องพระอาทิตย์ (ไม่ควรถกเถียงกัน ด้วยเรื่องที่ต่างก็ไม่รู้จริง) มังกรสอนใจ

ปัญหาเรื่องพระอาทิตย์           เด็กคนแรกพูดว่า "พระอาทิตย์ตอนเพิ่งพ้นขอบฟ้าเวลาเช้าดวงกลมโต โตพอ ๆ กับล้อรถเลย แต่พอกลางวันก็เล็กล...