เรื่องราวของโจรชิงกำไล
เช้าวันหนึ่ง มีสตรีชาวเมืองจีม่อแคว้นฉีคนหนึ่ง
ถือตะกร้าเดินไปจ่ายตลาด ครอบครัวของเธอร่ำรวยมากและเธอก็เป็นคนชอบแต่งตัวประดับประดาเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่จึงเป็นชุดทันสมัยสวยงามที่ข้อมือขวา
ของเธอสวมกำไลทองคำคู่หนึ่ง สะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกายแวววับ....
เธอเดินออกจากบ้านไมนานก็รู้สึกว่ามีชายคนหนึ่งเดินตามติดอยู่เบื้องหลัง
รักษาระยะห่างจากตัวเธอ
ไม่ไกลนัก เธอสงสัยอยู่บ้าง
แต่พอคิดดูอีกทีชายคนนั้นแต่งตัวสุภาพเรียบร้อย
มีท่าทางเป็นสุภาพบุรุษดู
ไม่เหมือนคนร้าย ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรอีก
เมื่อเธอเดินเกือบถึงตลาดสองข้างทางเป็นร้านค้าเรียงราย
ผู้คนเดินไปเดินมาบนถนนขวักไขว่ คาดไม่ถึงในขณะนั้นเอง ชายคนนั้นก็ลงมือชิงกำไลทองที่ข้อมือของเธอ
แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว เธอรีบร้องตะโกนเสียงดังขึ้นทันทีว่า
“ช่วยด้วย ช่วยจับโจรด้วย
เขาชิงเอากำไลทองของฉันไป”
ผู้ที่สัญจรไปมาต่างช่วยกันไล่ตามโจรนั้นไป
ชั่วครู่เดียวก็จับได้ ส่งไปสถานีตำรวจที่สถานีตำรวจ
ชายคนนั้นยอมสารภาพแต่โดยดี ว่าตนแย่งชิงเอาของของคนอื่น พร้อมกับคืนกำไลทองคู่นั้นให้ตำรวจ ตำรวจถามเขาว่า
“ฉันรู้สึกประหลาดใจมาก
สถานที่เกิดเหตุเป็นย่านการค้า มีผู้คนพลุกพล่าน เจ้ารู้ชัดๆ
อยู่แล้วว่าหนีไม่
รอดแน่ แล้วทำไม่ยังลงมือชิงของของคนอื่นอีก”
โจรชิงกำไลคนนั้นตอบว่า
“ตั้งแต่เริ่มต้น กระผมก็ไม่ได้เห็นผู้คนที่เดินไปมาใดๆทั้งสิ้น ตาของกระผมมองเห็นแต่ กำไลทองที่ส่งประกายแวววับคู่นั้นเท่านั้น”
ท่านสาธุชนทั้งหลาย.....
เราอ่านเรื่องนี้แล้วดูเผินๆอาจจะมีความรู้สึกขำๆว่าคนโง่ๆอย่างนี้ก็มีในโลกแต่ขอให้ลองตรึก
ตรองให้ดีเถิด เราจะพบว่า
คนในโลกเป็นเหมือนโจรชิงกำไลทองคนนี้มากมาย
แม้ตัวเราเองบางครั้งก็อาจเคยเป็น
การกระทำอาจไม่รุนแรงถึงขนาดลงมือฉกชิงวิ่งราวใครแต่
เรื่องราวก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน
เมื่อใดที่เกิดความโลภเข้ามาคลุมใจ
เมื่อนั้นสติสัมปชัญญะ
ความยับยั้งชั่งใจ
การไตร่ตรองเหตุผลโดยสุขุมรอบคอบก็จะหมดไป
เห็นแต่ได้ไม่เห็นเสีย
กว่าจะรู้ตัวก็มักสายเสียแล้ว
ต้องมานั่งนึกเสียใจภายหลัง
ดังนั้นจากนี้ไป
ขอให้เราอย่างปล่อยให้ความโลภคลุมใจ อย่าคิดรวยทางลัด ฝึกให้เป็นคนมี
สันโดษ คือ
ยินดีในสิ่งที่เรามี ยินดีในสิ่งที่เราได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตน และยินดีแต่ในสิ่งที่
ถูกต้องสมควรเท่านั้น
ความสุขกายสบายใจจะเกิดขึ้นกับเราตลอดเวลา
จาตุทฺทิโส อปฺปฏิโฆ จโหติ สนฺตุสฺสมาโน อิตรีตเรน
ผู้สันโดษย่อมอยู่เป็นสุขในทิศทั้งสี่
และเป็นผู้ไม่มีความอึดอัด
(องฺ.
จตุกฺก. 35/532)
-----------------------------------------
คือ "รู้แต่ได้ แต่ไม่รู้เสีย....!!! "
Cr. พระมหาสมชาย ฐานะวุฑโฒ
วัดพระธรรมกาย
-----------------------------------------
บางครั้งการทำงานของเรา บางทีเราจดจ่อเฉพาะเรื่องงานของเราอย่างเดียว จนลืมดูสิ่งรอบข้าง ว่าจะมีผลกระทบต่อความเสียหายกับผู้อื่นและตัวเราเอง ซึ่งคนทั่วไปมองว่านี่คือความไม่รอบคอบ
เราท่านทั้งหลายเคยเป็นกันบ้างหรือเปล่า....?
เราท่านทั้งหลายเคยเป็นกันบ้างหรือเปล่า....?
ถ้าเคยมีคงต้องรีบปรับปรุงโดยด่วนมิเช่นนั้นจะเข้าข่าย เป็นพวกโจรชิงกำไล
คือ "รู้แต่ได้ แต่ไม่รู้เสีย....!!! "
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น